BOOST พลังไอเดียยังไง ในวันแบตเหลือน้อย แต่ต้องลุยงานเต็มร้อย

และแล้วมันก็วนกลับมา! วันที่งานกองพะเนิน แต่สมองไม่เดินเอาดื้อๆ

สมองคนเราเปรียบเสมือนแบตมือถือที่แอคทีฟแทบตลอดเวลา ยิ่งถ้าเป็นสถาปนิกหรือคนดีไซน์ที่ทำมาหากินกับความคิดสร้างสรรค์ สมองจะถูกใช้งานยิงยาวต่อเนื่อง อาการหัวตัน ไฟในการทำงานอ่อนแรงจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

สถานการณ์นี้ หากเกิดในวันที่ตั้งใจปั่นงานเต็มพิกัด อาจทำให้มี Productivity Shame ว่ากำลังผลาญเวลาทำงานไปแบบไร้ค่า ก่อนจะหันมากดดันตัวเอง ลองเทคนิคชาร์จพลังสร้างสรรค์เร่งด่วนกันหน่อยดีกว่า 

1. กำจัดสิ่งรบกวนยิบย่อยทุกทาง

Dr. Earl Miller ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาแห่งสถาบัน MIT กล่าวไว้ว่า “Creativity จะมาต่อเมื่อสมองมีสภาวะจดจ่อเพียงพอ จนถักทอข้อมูลในหัวเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้” การทำกิจกรรมหลายอย่างพร้อมกันจะเป็นเหตุให้สมองไม่สามารถเชื่อมความทรงจำ ผลิตไอเดียเป็นชิ้นเป็นอันลำบาก 

นอกจาก Multitasking จะปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ยังทำให้สมองถูกใช้งานหนักจนพลังตกง่าย ดังนั้น เวลาแบตเริ่มถดถอย จงถอยห่างจากเรื่องยิบย่อยหรือตัวทำลายสมาธิทันที ทั้งการแจ้งเตือนข้อความไลน์ โซเชียลมีเดีย หรืองานแทรกที่รอได้ แล้วโฟกัสแค่ Task สำคัญหนึ่งอย่าง สมองจะได้เหลือพื้นที่ว่างให้ผุดไอเดียบ้าง 

2. ปรับ To Do List หน่อย ซอยเป้าหมายให้เล็กลง 

คำว่างานใหญ่ เป็นไปได้ยาก ภาระท่วมท้นมากมาย มักเป็นหลุมพรางความคิดที่บั่นทอนจิตใจ บล็อกไอเดียสร้างสรรค์ไม่รู้ตัว ฉะนั้น ลองรีเซ็ต Keyword ในหัวใหม่ ปรับเปลี่ยน To Do List ให้เป็นไปได้ง่ายกว่าเดิม โดยเริ่มจาก 3-4 โปรเจคย่อยที่มั่นใจว่าทำเสร็จในวันนั้น

Small Win จากเป้าหมายเล็กๆ นั้นสร้างผลลัพธ์มหาศาล เพราะนอกจากจะเรียกกำลังใจกลับมา ร่างกายที่รับรู้ถึง Small Win ยังฟินจนเฉลิมฉลองด้วยการปล่อยสาร Serotonin กับ Dopamine ที่ช่วยให้ความสุขและแรงจูงใจหลั่งไหลพรั่งพรู เกิดพลังอยากบรรลุ Action ต่อไป และลุยงานใหญ่ขึ้นให้สำเร็จ

3. ให้งานศิลปะในดวงใจปลุกไฟ 

“ถ้าเราเหนื่อยล้า จงเดินเข้าหาศิลปะ” คือคำกล่าวที่ใช้ได้จริงทุกสมัย แม้ว่าสำหรับนักออกแบบมากประสบการณ์ การสร้างสรรค์ศิลปะจะผูกติดอยู่กับเป้าหมายเรื่องรายได้หรือความพึงพอใจของลูกค้า จนจำแทบไม่ได้ว่าทำงานแนวอาร์ตสนอง Need ตัวเองล่าสุดเมื่อไหร่ 

ว่าแล้วก็ลองปัดฝุ่นงาน DIY ที่ร้างราไปนาน หรือหยิบกระดาษดินสอมาระบายจินตนาการแบบไม่ต้องมีมาตรฐานใดๆ มาจำกัด กิจกรรมนี้จะบำบัดความอ่อนล้า ปลุกไฟศิลปินกลับมา แถมทำให้ตระหนักว่าความรักในงานสร้างสรรค์ผลักดันให้เรามาไกลแค่ไหน จนมีแรงกายแรงใจไปต่อขึ้นเยอะ

4. ดำดิ่งสู่แฟนตาซี หนีโลกจริงชั่วครู่

เคยใช่ไหม? พยายามอิงหลักการเท่าไหร่ ไอเดียยิ่งตัน นั่นเพราะสมองคนเรามีความย้อนแย้ง Dr. Shelley Carson นักวิจัยสาขาจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Harvard บอกว่า “เวลาเราล่องลอยจากเรื่องจริงตรงหน้า สมองฝั่งเหตุผลจะลดบทบาท ขณะที่ฝั่ง Creativity ทำงานดีขึ้น” กลับตาลปัตรกันซะอย่างนั้น 

ในเมื่อโลกความจริงมันหนักหนา ก็เบรกมาดำดิ่งสู่เรื่องราวของหนังสือนิยายชื่อดัง หรือท่องจินตนาการในหนัง Visual อลังการซักพักดีกว่า การปล่อยจอยกับเรื่องสมมุติสวยงามไกลตัวจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และเพิ่มประสิทธิภาพสมองฝั่งสร้างสรรค์ให้เด้งไอเดียออกมาได้เกินคาด 

5. เปลี่ยนที่ทำงาน ซึมซับบรรยากาศใหม่

 กรณีที่งานด่วน ยืดหยุ่นอะไรไม่ได้ The Show Must Go On ต่อไป ให้ลองใช้วิธีย้ายโลเคชั่น ปลีกตัวจากภาพที่เห็นจนชินตา เพราะการถูกตีกรอบอยู่ในผนังสี่เหลี่ยมเดิมๆ ทุกวันก็มีส่วนทำให้รู้สึกจำเจ เบื่อหน่าย หัวไม่ลื่นไหล ฝืนนั่งแช่อาการจะแย่กว่าเดิม

ถึงเวลาพาร่างกายกับโน้ตบุ๊กคู่ใจออกไปรีเฟรชในบรรยากาศใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Coworking Space หรือคาเฟ่ที่ตกแต่งเก๋ไก๋ โปร่งสบาย ให้ฟีลกู๊ด การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมไปอยู่ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้าไม่ได้แค่อัพพลังสร้างสรรค์ ยังตัดคลื่นรบกวนจากคนคุ้นเคยรอบข้างให้เราจดจ่อกับงานเต็มที่ด้วย

Previous
Previous

สถาปนิกกับซินแส ปัญหาโลกแตกที่แก้ได้

Next
Next

HOW TO สกรีนลูกค้า "คิดไม่จบ งบไม่พอ" ออกจากวงโคจร